01รูปแบบของพัฒนาการของทารก/เด็กวัยหัดเดิน
- ขณะที่อยู่ในช่วงวัยทารก (0-2 ขวบ) ร่างกายของทารกจะมีการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองต้องตรวจสอบเพื่อดูว่าทารกของตนเติบโตและมีพัฒนาการตามปกติหรือไม่เป็นระยะ
- ขณะที่อยู่ในช่วงวัยหัดเดิน (2-5/6 ขวบ) ทารกจะพัฒนาความสามารถในการออกกำลังกายอย่างเห็นได้ชัด การเคลื่อนไหวทางร่างกายและการใช้มือของทารกจะสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม ในช่วงเวลานี้ ทารกมีโอกาสที่จะประสบอุบัติเหตุด้านความปลอดภัยและติดโรคติดต่อได้ค่อนข้างสูง ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องให้ความสนใจทารกของตนและปกป้องพวกเขาอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ
รูปแบบการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก/เด็กวัยหัดเดิน
영유아기 성장과 발달 특성 : 주요특성, 설명 및 건강증진을 위한 고려 점을 포함한 표입니다. | คุณลักษณะหลัก | คำอธิบาย | ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพื่อส่งเสริมสุขภาพ |
| การพัฒนาการของสมอง | การพัฒนาสมองประมาณร้อยละ 90 จะเสร็จสมบูรณ์ช่วงที่อยู่ในวัยทารก/เด็กวัยหัดเดิน คุณจำเป็นต้องตรวจสอบว่าพัฒนาการทางสมองของทารกเกิดขึ้นตามปกติหรือไม่ โดยการวัดขนาดของศีรษะเป็นระยะๆ เนื่องจากขนาดศีรษะบ่งชี้ถึงระดับการพัฒนาของสมอง | - การตรวจสุขภาพทารก/เด็กวัยหัดเดิน
- ตรวจพัฒนาการทางสมอง การมองเห็น และการได้ยิน
|
| ฟันน้ำนม | ทารกเริ่มมีฟันน้ำนมเมื่อเข้าสู่ช่วงหกเดือนหลังคลอด ทารกควรรักษาฟันน้ำนมให้ดีเพราะฟันน้ำนมคือตัวช่วยกำหนดตำแหน่งสำหรับฟันแท้ | |
| การพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน | ช่วงที่อยู่ในวัยทารก/เด็กวัยหัดเดิน ระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันและการล้างมือบ่อยๆ จึงมีความสำคัญ | - การฉีดวัคซีนป้องกัน
- ล้างมือบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดเชื้อ
|
02การดูแลสุขภาพทารก/เด็กวัยหัดเดิน
(1)การตรวจสุขภาพทารก/เด็กวัยหัดเดิน
- ช่วงที่อยู่ในวัยทารก ร่างกายของทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองต้องตรวจสอบเพื่อดูว่าทารกของตนเติบโตและมีพัฒนาการตามปกติหรือไม่เป็นระยะ รวมทั้งควรพบและแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่เนิ่นๆ
- เกาหลีจัดให้มีการตรวจสุขภาพทารก/เด็กวัยหัดเดิน (อายุ 14 เดือน – 71 เดือน) ทั้งหมด 11 ครั้ง (รวมการตรวจฟัน 3 ครั้ง) ดังต่อไปนี้: การเจริญเติบโต/พัฒนาการที่ผิดปกติ โรคอ้วน อุบัติเหตุด้านความปลอดภัย กะทันหัน กลุ่มอาการเสียชีวิตของทารกแบบกะทันหัน การได้ยิน/การมองเห็นผิดปกติ ฟันผุ ฯลฯ
- การตรวจสุขภาพทารก/เด็กวัยหัดเดินเป็นบริการฟรี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการดูแลการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางร่างกายของทารกอย่างต่อเนื่อง และให้การศึกษา/ให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองอย่างเพียงพอ
- คุณสามารถสอบถามข้อมูลอย่างละเอียดเพิ่มเติมได้ อาทิเช่น รายการ/ความถี่ของการตรวจร่างกาย โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ขององค์กรประกันสุขภาพแห่งชาติ (National Health Insurance Corporation) (NHIC) (https://www.nhis.or.kr/nhis/healthin/wbhaca04800m01.do)
(2)การตรวจสายตา
การตรวจสายตา
- การมองเห็นเป็นระบบสัมผัสที่มีบทบาทสำคัญสำหรับทารกที่จะเข้าใจสภาพแวดล้อมและการยอมรับข้อมูลภายนอก
- หากพบความผิดปกติทางการมองเห็นในช่วงที่สายตายังพัฒนาอยู่ แพทย์สามารถฟื้นฟูให้สายตากลับคืนสู้สภาพปกติได้ในระดับหนึ่งโดยการรักษาและการดูแล
- ต้องทำการตรวจสายตาเมื่ออายุครบสามขวบและหกขวบเพื่อตรวจความผิดปกติของสายตา
- เมื่ออายุครบ 3 ขวบ ทารกสามารถรับการตรวจสายตาได้โดยใช้แผนภูมิการมองเห็น
คุณลักษณะพัฒนาการและการมองเห็นของเด็ก
- การพัฒนาการมองเห็นส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่ออายุ 7 ถึง 8 ขวบ ค่าสายตาเฉลี่ยของเด็กอายุ 3 ขวบ/เด็กอายุ 6 ขวบจะอยู่ที่ 0.5 ถึง 1.0
- ทารก/เด็กวัยหัดเดินไม่มีทางที่จะบอกความรู้สึกเกี่ยวกับสายตาที่ไม่ดีให้พ่อแม่ทราบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบปัญหาสายตาในระยะแรก
- หากต้องตรวจปัญหาสายตาของทารก/เด็กวัยหัดเดินให้เจอ ผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องนำเด็กไปทดสอบสายตาเป็นระยะและคอยเฝ้าสังเกตอย่างระมัดระวัง
- หากตรวจพบปฏิกิริยาตอบสนองที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในสายตาของทารก/เด็กวัยหัดเดิน ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการกระทำของทารก/เด็กวัยหัดเดินที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสายตา
- รูม่านตาเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง (เรียกว่าตาเหล่) (สำหรับเด็กอายุหกเดือนขึ้นไป)
- ไวต่อแสงมากเป็นพิเศษ
- มองไปด้านข้างบ่อยๆ ตากระตุกหรือตากระเด้ง
- มองด้วยอาการตาปิดครึ่งหนึ่งหรือเลิกคิ้ว
- นั่งใกล้ทีวี
(3)การตรวจการได้ยิน
การตรวจการได้ยิน
- เมื่ออายุได้ 3 ขวบ การพัฒนาการได้ยินของเด็กมักเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ร้อยละ 80
- หากการกระตุ้นโดยใช้เสียงเดินทางไม่ไปถึงศูนย์การได้ยินของสมองก่อนที่เด็กจะอายุครบ 3 ขวบ ศูนย์คำศัพท์ของเด็กจะไม่พัฒนา ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการพูด/การใช้ภาษาของเด็ก และเด็กควรได้รับการศึกษาพิเศษ
- เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงว่าอาจจะมีความบกพร่องในการได้ยิน (อาทิเช่น เด็กที่คลอดก่อนกำหนดและเด็กที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กหายใจไม่ออกตั้งแต่แรกคลอด หรือเด็กได้รับการรักษาในระยะยาวโดยใช้ยาปฏิชีวนะ) ควรเข้ารับการทดสอบการได้ยินเป็นระยะ
- หากทารก/เด็กวัยหัดเดินมีสัญญาณบ่งชี้ว่ามีความบกพร่องทางการได้ยิน ผู้ปกครองควรพาไปพบแพทย์ทันที
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการกระทำของทารก/เด็กวัยหัดเดินที่บ่งบอกถึงความบกพร่องทางการได้ยิน
청력장애가 있음을 암시하는 영유아의 행동반응 : 발달 단계 및 행동반응을 포함한 표입니다. | ขั้นตอนการพัฒนา | ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการกระทำ |
| ช่วงที่อยู่ในวัยทารก | - ไม่ตอบสนองต่อเสียงดัง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับกิจกรรม
- ไม่ตอบสนองต่อการเรียกชื่อขอทารก
- ไม่แสดงการตอบสนองจนกระทั่งจะมีการสัมผัสร่างกาย
|
| ช่วงที่อยู่ในวัยหัดเดิน | - มีแนวโน้มที่จะตอบสนองด้วยท่าทางหรือการแสดงออกทางสีหน้ามากกว่าคำพูด
- แสดงความล้าหลังในการพัฒนา โดยเฉพาะด้านการพัฒนาภาษา เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน
- พอใจที่จะเล่นคนเดียว หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- แสดงความสนใจในสิ่งของต่างๆ มากกว่าผู้คน
- ไม่ตอบสนองต่อเสียงกริ่งประตูหรือเสียงโทรศัพท์
|
(4)การดูแลสุขภาพฟัน
ฟันช่วยตัดแบ่งอาหารออกเป็นชิ้นเล็กๆ และนำน้ำลายมาผสมกับอาหารเพื่อช่วยให้กลืนได้ง่ายขึ้น ร่างกายของคุณจะไม่สามารถรับสารอาหารที่ร่างกายต้องการได้ เว้นแต่ฟันของคุณจะแข็งแรง
ฟันน้ำนมและฟันแท้
- ฟันน้ำนมหมายถึงฟันที่ร่างกายของคุณมีตั้งแต่อายุ 6 เดือนถึง 30 เดือนหลังคลอด ฟันน้ำนมทั้งหมดมีจำนวน 20 ซี่ เมื่อคุณอายุครบ 30 เดือนหลังคลอด
- ฟันน้ำนมจะเริ่มถูกแทนที่ด้วยฟันแท้เมื่อคุณอายุหกขวบขึ้นไป
- ฟันน้ำนมจะนิ่มและอ่อนกว่าฟันแท้ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะผุได้ เว้นแต่จะได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง
- ฟันน้ำนมคือตัวกำหนดตำแหน่งของฟันแท้ โปรดดูแลบุตรหลานของคุณให้มีสุขภาพฟันน้ำนมที่ดี เพื่อจะได้มีฟันแท้ที่แข็งแรง
- หากลูกของคุณมีฟันน้ำนมผุ โปรดพาไปพบแพทย์
สัญญาณของการงอกของฟันน้ำนมและการวิธีดูแลฟันน้ำนม
เมื่อทารกมีอาการดังต่อไปนี้ นั่นคือสัญญาณการงอกของฟัน นวดเหงือกหรือใช้ยางกัดฟันเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายปาก
- น้ำลายไหล ดูดนิ้วตัวเองบ่อยๆ
- กัดวัตถุที่เป็นของแข็งบ่อยๆ กัดทรวงอกแม่อย่างแรง
- หงุดหงิดบ่อยๆ นอนไม่หลับ มีไข้เล็กน้อย
รายละเอียดเพิ่มเติม!
- การนวดเหงือก: ล้างมือให้สะอาดและนวดเหงือกที่บวมของทารกนานประมาณ 2 นาทีโดยใช้น้ำแข็ง
- การใช้ยางกัดฟัน: นำยางกัดฟันออกมาจากตู้เย็นและปล่อยให้ทารกกัดเมื่อทารกรู้สึกหงุดหงิด
- คุณอาจใช้กล้วยชิ้นเล็กๆ ที่เก็บไว้ในตู้เย็นแทนยางกัดฟันก็ได้
การดูแลฟัน
- หลังจากให้นมลูกหรือให้อาหารหย่านมแล้ว เช็ดด้านในของปากของทารกด้วยผ้าก๊อซเปียกให้สะอาด ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้น
- หลังจากที่ทารกโตขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว บ้วนปากทารกด้วยน้ำหลังจากให้อาหาร
- หลังจากฟันน้ำนมขึ้นแล้ว กรุณาทำความสะอาดด้วยแปรงสีฟัน
- เริ่มใช้ยาสีฟันเมื่อทารกอายุครบ 2 ขวบ การใช้แปรงสีฟันที่มีฟลูออไรด์หรือได้รับฟลูออไรด์ในระหว่างทีทารกมีการพัฒนาของฟันจะช่วยป้องกันฟันผุได้เป็นอย่างดี
(5)การฉีดวัคซีนป้องกัน
- การฉีดวัคซีนป้องกันจะช่วยคุณมีภูมิต้านทานเพิ่มหรือมีภูมิคุ้มกันจากโรคติดเชื้อได้
- ในช่วงที่อยู่ในวัยทารก/เด็กวัยหัดเดิน ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กๆ ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเด็กๆ อย่างมาก
- กรมควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลี (Korea Disease Control and Prevention Agency) (KDCA) จัดสรรการวัคซีนป้องกันสำหรับทารก/เด็กวัยหัดเดินตามที่รัฐได้กำหนดเอาไว้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่ศูนย์สุขภาพสาธารณะหรือสถาบันทางการแพทย์ที่กำหนดใกล้บ้านคุณ
- สิ่งที่สำคัญอย่างมากก็คือการที่ทารก/เด็กวัยหัดเดินของคุณได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อคงภูมิคุ้มกันของเด็กๆ เอาไว้
- หากต้องการทราบละเอียดเพิ่มเติม โปรดเข้าไปที่เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง(nip.kdca.go.kr)
หมายเหตุเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกัน
예방접종 주의사항 : 주의사항 및 근거를 포함한 표입니다. | หมายเหตุ | ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง |
| ผู้ใหญ่ที่นับทราบสภาวะสุขภาพของทารก ควรพาทารกไปฉีดวัคซีนที่สถาบันทางการแพทย์ | นั่นเป็นเพราะว่าผู้ใหญ่คาดหวังว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในทันทีหลังการฉีดวัคซีนป้องกัน |
| ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทารกไม่มีไข้โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนไปฉีดวัคซีนที่สถาบันทางการแพทย์ | นั่นเป็นเพราะเราไม่มีทางที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างไข้ปกติกับข้ที่เกอดจากการฉีดวัคซีนป้องกันได้ |
| อาบน้ำให้ทารกหนึ่งวันก่อนวันที่จะไปฉีดวัคซีนที่สถาบันทางการแพทย์ | ไม่ควรอาบน้ำให้ทารกในวันที่ฉีดวัคซีน |
| เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเที่ยงถ้าเป็นไปได้ | กลับมาติดต่อสถาบันทางการแพทย์แห่งนั้นอีกครั้งในช่วงบ่าย หากพบปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน |
| ห้ามนำทารกอีกคน (อาทิเช่น พี่น้องของทารกที่พาไปฉีดวัคซีน) ไปที่สถาบันทางการแพทย์พร้อมกัน | วัคซีนบางชนิดอาจส่งผลต่อเด็กคนอื่นๆ |
| อย่าให้บุตรของท่านได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมหากพบว่ามีผลข้างเคียงหรืออาการแพ้ในการฉีดวัคซีนป้องกันครั้งก่อนหน้านี้ | ในกรณีแบบนี้ การฉีดวัคซีนเพิ่มเติมอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมากขึ้น |
| ห้ามให้เด็กที่แพ้นีโอมัยซินหรือไข่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) | องค์ประกอบที่มีอยู่ในวัคซีน MMR มีความคล้ายคลึงกับนีโอมัยซินหรือไข่ ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ |
| หลังฉัดวัคซีน รออยู่ที่สถานที่ฉีดวัคซีนเป็นเวลา 20 -30 นาทีและสังเกตอาการของทารก | นี่คือข้อควรระวังเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน |
| สังเกตอาการของทารกอย่างรอบคอบนานกว่า 3 ชั่วโมงหลังจากกลับไปถึงบ้านแล้ว | เพื่อดูว่ามีผลข้างเคียงใดๆ จากการฉีดวัคซีนหรือไม่ |
| สังเกตอาการของทารกอย่างรอบคอบเป็นเวลา 3 วันหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน หากทารกมีไข้สูงหรือมีอาการอัมพาต ควรไปพบแพทย์ทันที | นี่คือข้อควรระวังเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน |
(6)การป้องกันการติดเชื้อและการล้างมือ
- โรคติดเชื้อส่วนใหญ่มักแพร่ระบาดโดยมีคนที่เอามือที่มีเชื้อโรคมาป้ายตา จมูก หรือปาก มากกว่าการติดเชื้อโดยตรงทางจมูกหรือปาก เราสามารถป้องกันโรคติดเชื้อได้ร้อยละ 70 ได้อย่างง่ายๆ ด้วยการลดจำนวนเชื้อโรคในมือของผู้คน
- ถ้าคุณไม่ล้างมือ เชื้อโรคในมืนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป การล้างมือคือวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรคและหยุดยั้งโรคติดเชื้อ
- ล้างมือโดยปล่อยให้น้ำไหลผ่านนานกว่า 30 วินาทีหลังจากใช้ห้องน้ำ กลับบ้านจากนอกบ้าน ใช้มือปิดปากเมื่อจาม สัมผัสสัตว์เลี้ยง จับเงิน หรือก่อนรับประทานอาหาร/ประกอบอาหาร
- ล้างมือให้สะอาด
วิธีการล้างมืออย่างถูกต้อง 6 ขั้นตอน
- 1ฝ่ามือ : ถูฝ่ามือเข้าหากัน
- 2หลังมือ : นำหลังมือข้างหนึ่งมาถูกับฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง
- 3ซอกนิ้ว : ขัดซอกนิ้วโดยประสานนิ้วของคุณแล้วถูไปมา
- 4ถูสองมือเข้าหากัน : จับนิ้วมือทั้งสองข้างแล้วถูเข้าด้วยกัน
- 5นิ้วหัวแม่มือ : ถูนิ้วโป้งลงไปบนฝ่ามือของอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำกับมือทั้งสองข้าง
- 6ใต้เล็บ : วางนิ้วมือข้างหนึ่งบนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งแล้วทำความสะอาดใต้เล็บมือ
- 1.ฝ่ามือ
- 2.หลังมือ
- 3.ซอกนิ้ว
- 4.ถูสองมือเข้าหากัน
- 5.นิ้วหัวแม่มือ
- 6.ใต้เล็บ
03การดูแลปัญหาสุขภาพที่สำคัญในทารก/เด็กวัยหัดเดิน
(1)ไข้
คุณลักษณะ
- ไข้หมายถึงอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเหนือค่าปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของร่างกาย (อุณหภูมิปกติของทวารหนัก: 38 ℃/อุณหภูมิปกติของช่องปาก: 37.5 ℃ / อุณหภูมิปกติใต้วงแขน: 37.2 ℃)
- ในกรณีที่มีการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อุณหภูมิของคุณสูงขึ้นจนเป็นไข้เพื่อสร้างสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค หากทารกมีไข้ไม่เกิน 38 องศาเซนติเกรด ขอแนะนำให้สังเกตอาการครู่หนึ่งเพื่อดูว่าอุณหภูมิคงที่หรือไม่แทนที่จะพยายามลดไข้
- หากทารกมีอาการผิดปกติหรือมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรงเนื่องจากมีไข้ พยายามลดไข้ลง
- ไข้ที่ทำให้เกิดอาการชัก: อาการชักในเด็กมักเกิดจากมีไข้เฉียบพลัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ทารกจะกลับมามีอาการเป็นปกติโดยไม่มีปัญหา แต่ควรระวังเพราะไข้ที่ทำให้เกิดอาการชักบ่อยๆ อาจส่งผลต่อสมองของเด็กได้
สาเหตุ
สาเหตุทั่วไปของอาการไข้ในทารก มักได้แก่ ลำไส้อักเสบ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หูชั้นกลางอักเสบ ไข้หวัด ฯลฯ
อาการ
- ทารกหงุดหงิดและไม่ยอมทานอาหาร
- อุณหภูมิร่างกายลดลงก่อนจะสูงขึ้นและมีเหงื่อออก
- ร่างกายขาดน้ำ
อาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะขาดน้ำในทารก
- 1มือเท้าเย็น
- 2ผิวซีดและจุดด่างดำ
- 3ไม่ปัสสาวะนาน 6 - 8 ชั่วโมง
- 4หายใจลำบาก หายใจถี่
- 5มีไข้
- 6กะโหลกศีรษะยุบ
- 7เบ้าตาโหล ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้
- 8ปากแห้ง
- 9ผิวย่น
การดูแล
- วัดอุณหภูมิร่างกายของทารก
- ลดไข้หากอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38℃ และทารกมีอาการไม่สบายตัว
- ระบายอากาศเพื่อให้ภายในห้องเย็นลงและสวมเสื้อผ้าบางๆ ให้ทารก
- ให้ยาลดไข้ทารก (อาทิ ไทลีนอล บรูเฟนเป็นต้น)
- เช็ดผิวของทารกเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนูหรือผ้ากอซชุบน้ำอุ่น
- ให้ทารกดื่มน้ำเพียงพอหรือให้นมลูก
- หากไข้ของทารกไม่ลดลง โปรดไปพบแพทย์
해열제 사용시 및 병원방문 : 해열제 사용 시 주의 점 및 병원방문이 필요한 경우를 포함한 표입니다. | ข้อควรระวังเมื่อใช้ยาลดไข้ | ไปพบแพทย์หากมีกรณีอย่างใดย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ |
- อย่าใช้ยาลดไข้แบบกินและและแบบเหน็บพร้อมกัน
- ให้ยาลดไข้ทารก (อาทิ ไทลีนอล บรูเฟนเป็นต้น)ตามคำแนะนำของแพทย์
- อย่าใช้ตัวลดไข้มากเกินไป อาจทำให้เป็นพิษได้
- หากคุณเตรียมยาลดไข้เป็นยาสามัญประจำบ้าน ให้บรรจุเป็นห่อเล็กๆ
- ห้ามใช้แอสไพรินกับทารก
| - ทารกอายุน้อยกว่าหกเดือนที่มีไข้
- ทารกอายุสามเดือนถึง 3 ปีที่มีไข้สูงกว่า 39 ℃
- ทารกมีไข้นานกว่าหนึ่งวัน
- ทารกอาเจียนหรือท้องเสียอย่างรุนแรง
- ไม่ปัสสาวะ ตาโหล ผิวแห้ง
- ทารกไม่ตื่นจากการหลับ
- ชักหรือมีผื่นตามผิวหนัง
- ทารกไม่ยอมกินอาหาร
|
(2)การอักเสบของหูชั้นกลาง
คุณลักษณะ
- การอักเสบของหูชั้นกลางเป็นโรคที่มักเกิดขึ้นในทารกอายุ 6 เดือนถึง 2 ขวบรองจากโรคหวัด
- ในกรณีที่ทารกที่อายุน้อยกว่า 3 ปี ท่อยูสเตเชียน (ช่องระหว่างช่องจมูกและหูชั้นกลาง) จะสั้นกว่าท่อของคนที่มีอายุมากกว่า โดยทารกมีท่อที่กว้างและอยู่ตามแนวนอน ดังนั้นเชื้อโรคในช่องจมูกจึงสามารถแพร่กระจายไปยังหูชั้นกลางได้โดยง่าย
- หากมีอาการรุนแรงขึ้น ความดันที่หูชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลทำให้มีน้ำมูกไหล
- ทารกไม่สามารถอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นภายในหูของตนเองได้ ดังนั้น หากผู้ปกครองไม่สังเกตอย่างระมัดระวัง ปัญหาในหูอาจพบได้ช้ากว่าปกติจนส่งผลทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของหูชั้นกลางหรือมีปัญหาในการได้ยิน
- ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการอักเสบของหูชั้นกลางและหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ผู้ปกครองควรพยายามจำแนกอาการตั้งแต่เนิ่นๆ และให้ทารกไปพบแพทย์
รายละเอียดเพิ่มเติม
นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อในแนวนอนกับช่องจมูก การติดเชื้อไวรัสในจมูกสามารถกระตุ้นแบคทีเรียให้ย้ายจากจมูกไปยังหูชั้นกลางจนทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นกลางได้
- < ตำแหน่ง/มุมของท่อยูสเตเชียนที่แตกต่างกันระหว่างทารก (ซ้าย) อายุน้อยกว่า 3 ปีกับผู้ใหญ่ (ขวา) ท่อยูสเตเชียนของทารกอายุน้อยกว่า 3 ปีสั้นและกว้างกว่าท่อของผู้ใหญ่ >
สาเหตุ
- เมื่อทารกได้รับอาหารในท่านอน นมมักจะเข้าไปในหูชั้นกลางผ่านทางท่อยูสเตเชียน จนทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาได้
- หากคุณปล่อยให้ทารกสั่งน้ำมูกอย่างแรง เชื้อโรคที่อยู่ในน้ำมูกมักจะเข้าไปในหูชั้นกลางผ่านทางท่อยูสเตเชียน และทำให้หูชั้นกลางอักเสบได้
- หากผู้ปกครองสูบบุหรี่ ทารกมีโอกาสได้รับควันซึ่งจะทำให้ระบบทางเดินหายใจอ่อนแอลงและทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นกลาง
- ทารกมีความต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำ ดังนั้นพวกเขามีโอกาสเป็นหวัดหรือหูชั้นกลางอักเสบได้เมื่อไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน
อาการ
- ทารกทรมานเพราะมีอาการไข้สูง (สูงกว่า 40°) และปวดหู พวกเขาจะสั่นศีรษะและดึงหูของตนเอง
- อาการปวดหูแย่ลงเมื่อใช้แรงกดที่หู นั่นคือเหตุผลที่ทารกมีอาการหงุดหงิดจากการปวดหูมากกว่าเมื่อนอนราบกับพื้นและหงุดหงิดน้อยลงเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของแม่
- ปฏิเสธที่จะรับฟัง อาเจียน ท้องเสีย
- บ่นเกี่ยวกับความรู้สึกตึงเครียดในหู เพิ่มระดับเสียงของทีวี เนื่องจากไม่ต่อยได้ยินเสียง
- เมื่อแก้วหูได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการอักเสบของหูชั้นกลาง หนองจะไหลออกจากหู
- < ปฏิกิริยาการตอบสนองของทารก/เด็กวัยหัดเดินเมื่อหูชั้นกลางอักเสบ >
การรักษาและการดูแล
- หากทารกมีอาการของการอักเสบของหูชั้นกลาง คุณควรพาทารกไปพบแพทย์ทันที
- เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้การเกิดการอักเสบของหูชั้นกลางซ้ำ คุณควรให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะควรทำต่อไปตามคำแนะนำของแพทย์
- ต้องให้ดื่มน้ำหรือให้อาหารอ่อนที่เป็นน้ำๆ บ่อย ๆ ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สำหรับทารกที่ไม่ยอมทานอาหารเนื่องจากปวดหู
- วิธีการดังต่อไปนี้อาจช่วยให้ทารกรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง คุณสามารถนำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นประคบหูที่เจ็บโดยให้หูด้านนั้นคว่ำลง
- หากมีหนองหรือของเหลวไหลออกจากหู เช็ดทำความสะอาดส่วนของร่างกายใกล้กับหูที่ได้รับผลกระทบด้วยน้ำเกลือสำหรับใช้ภายนอก และทาครีมตามคำแนะนำของแพทย์
- หากเกิดกรณีที่หูชั้นกลางอักเสบรุนแรง แพทย์อาจสอดท่อระบายเข้าไปในแก้วหู ระวังอย่าให้น้ำเข้าหูในกรณีแบบนี้
วิธีป้องกันหูชั้นกลางอักเสบ
중이염 예방법 : 예방법 및 설명을 포함한 표입니다. | สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ | สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ คำอธิบาย |
| ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ทารก | - ควันบุหรี่ทำให้ระบบทางเดินหายใจของทารกทำงานได้ด้อยลง กระตุ้นการทำงานของท่อยูสเตเชียน และมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นกลาง
|
| ให้นมแม่ | - ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ช่วยปกป้องทารกจากการติดเชื้อรวมถึงการอักเสบของหูชั้นกลาง
- เราขอแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนถึงอายุ 12 เดือนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
|
| อุ้มทารกไว้ในอ้อมแขนของคุณขณะให้นมลูก | - วิธีนี้จะทำช่วยป้องกันไม่ให้น้ำนมไหลเข้าสู่หูชั้นกลางผ่านทางท่อยูสเตเชียนได้
|
| อย่าปล่อยให้ทารกสั่งน้ำมูกแรงๆ | - วิธีนี้จะช่วยป้องกันเชื้อโรคในน้ำมูกไหลเข้าสู่หูชั้นกลางผ่านทางท่อยูสเตเชียน
|
สามารถใช้งานได้ตามเงื่อนไข “KOGL (ลิขสิทธิ์เปิดเผยซอร์ซโค้ดของเกาหลี) ประเภท 4: ระบุแหล่งซอร์ซโค้ด+ห้ามใช้ในเชิงพาณิชย์+ห้ามทำการเปลี่ยนแปลง”